น่ารักอะ


ความรู้มากมาย

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

สูตรขนมไทย

สูตรขนมหวานไทย : ฝอยทอง

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* ไข่เป็ด 5 ฟอง
* ไข่ไก่ 5 ฟอง
* น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
* ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ(ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านป้าน)
* น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
* กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
* ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)


      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก
2. ผสมไข่แดง, ไข่น้ำค้างและน้ำมันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว
3. นำน้ำลอยดอกมะลิผสมกับน้ำตาลในกระทะทองเหลืองและนำไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจนเดือด
4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวยและนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลม สอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการ
5. จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างทางเล่นในวันสบายๆ


สูตรขนมหวานไทย : ทองหยอด

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* ไข่เป็ด 18 ฟอง
* แป้งทองหยอด 1 ถ้วยตวง (หรือแป้งข้าวเจ้า)
* น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
* น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง










      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมน้ำลอยดอกไม้กับน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง แล้วนำไปตั้งไฟแรงให้เดือด เคี่ยวทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงแบ่งน้ำเชื่อมส่วนหนึ่งออกมาสำหรับแช่ทองหยอดที่สุกแล้ว
2. ต่อยไข่ แยกไข่ขาวออก ใช้เฉพาะไข่แดง โดยนำไข่แดงไปกรองในผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก จากนั้นจึงตีไข่แดงให้ขึ้นฟู จากนั้นค่อยๆผสม แป้งทองหยอดลงไปและคนให้แป้งและไข่แดงเข้ากัน
3. นำไข่แดงที่ผสมแป้งเรียบร้อยไปหยอดในน้ำเชื่อม สำหรับวิธีหยอดนั้นให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง หยิบส่วนผสมมาเป็นลูกขนาดพอประมาณ แล้วจึงสบัดลงไปในน้ำเชื่อม ทำเช่นนี้จนเต็มกระทะทองเหลือง จากนั้นรอจนทองหยอดสุกจึงตักออกมาพักใส่ในน้ำเชื่อมที่แยกไว้ก่อนหน้านี้ (ทองหยอดที่สุกจะลอยขึ้น)
4. จัดทองหยอดใส่จานเสริฟเป็นของว่างหรือของทานเล่นในวันพักผ่อนสบายๆ





 สูตรขนมหวานไทย : ขนมทองหยิบ

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม



* ไข่เป็ด 8 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)
* น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
   (เคล็ดลับ : อัตราส่วนมาตรฐานทั่วไป
   น้ำ 1 ส่วน : น้ำตาล 1/2 ส่วน)










      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมน้ำเปล่าและน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นำไปตั้งบนไฟอ่อนจนละลายปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นนำไปกรองด้วย ผ้าขาวบางหนึ่งครั้ง
2. นำน้ำเชื่อมที่กรองแล้วไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กะพอให้น้ำเชื่อมร้อนจัดแต่ไม่ให้เดือดพล่าน
3. ใส่ไข่แดงลงในถ้วย ตีจนขึ้นฟู เมื่อน้ำเชื่อมร้อนได้ที่ ใช้ช้อนตักไข่แดงที่ตีจนฟู หยอดลงในน้ำเชื่อม ไข่จะแผ่เป็นวงกลม ใช้ช้อนกลับหน้าสักครั้งเพื่อให้สุกทั่วทั้งสองด้าน จากนั้นจึงตักขึ้น
4. รอจนหายร้อน จึงจับจีบโดยใช้นิ้วมือหยิบ 5 หยิบแล้วใส่ลงในถ้วยตะไลหรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้


 สูตรขนมหวานไทย : ขนมวุ้นมะพร้าวอ่อน

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม








* หัวกะทิ 200 กรัม
* วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำเปล่า 500 กรัม
* น้ำตาลทราย 150 กรัม
* เนื้อมะพร้าวอ่อน 50 กรัม
* น้ำมะพร้าวอ่อน 200 กรัม





 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำหัวกะทิใส่หม้อและนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ใส่เกลือลงไป คนให้ละลาย ปิดไฟทันที (อย่าให้กะทิแตกมัน)
2. ตั้งกระทะทองเหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) บนไฟร้อนปานกลาง ใส่น้ำเปล่าและวุ้นผง ลงไป รอจนเดือดใส่น้ำตาลทรายลงไป คนจนละลายจึงลดไฟลง
3. นำเนื้อมะพร้าวและน้ำมะพร้าวไปปั่นให้เข้ากัน แล้วใส่ลงในส่วนผสมวุ้น (ในข้อ 2) ใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวอีก สักพัก จึงใส่กะทิที่เตรียมไว้ในข้อหนึ่งลงไป คนให้เข้ากันเสร็จึงปิดไฟ (หมายเหตุ : น้ำมะพร้าวอ่อนต้องหวาน เพราะเมื่อนำไปผสมทำวุ้นแล้วจะทำให้รสชาตเเปรี้ยวเหมือนวุ้นเสีย ถ้าไม่มีน้ำมะพร้าวอ่อนหวานให้ใช้น้ำลอยดอกไม้แทน)
4. เทส่วนผสมวุ้นลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้หายร้อน จึงนำเข้าไปแช่ในตู้เย็น
5. เคาะวุ้นออกจากแบบ จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆ






ข้อควรรู้ มารยาทในที่ทำงาน


ข้อควรรู้ มารยาทในที่ทำงาน

ในการทำงานแต่ละที่ แต่ละออฟฟิตจะมีเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง เมื่อเราเข้าไปทำงานใหม่ๆ เราอาจจะต้องปรับตัวให้เข้ากับองค์กร ศึกษาว่า ที่นี่เค้าทำงานกันอย่างไร เราควรวางตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม เข้ากับองค์กรนั้นๆ
  • ก่อนอื่น เราควรแต่ตัวให้สุภาพ แต่งตัวให้สะอาด เรียบร้อย เราควรสังเกตตอนเรามาสัมภาษณ์งานว่าองค์กรนี้แต่งตัวเน้นไปทางไหน เช่น ผู้หญิง ใส่กระโปรง ชุดเดรส หรือ ชุดสูท…
  • การแต่งหน้า เราควรแต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติ ไปจัดจ้าน หรือจืดชืดเกินไป เมื่อเราแต่งตัว แต่งหน้าเสร็จแล้ว เราควรไปถึงที่ทำงานเช้าๆ ไม่ไปสายตั้งแต่วันแรกของการทำงาน
  • เมื่อไปถึงที่ทำงาน ควรยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายพนักงาน เพื่อนร่วมงาน แนะนำตัวเอง และควรจดจำชื่อเพื่อนร่วมงานให้มากที่สุด เมื่อเจอหัวหน้างานหรือผู้ใหญ่กว่า มีอายุมากกว่า ควรไหว้ หรือแสดงความเคารพ ด้วยความจริงใจ และกล่าวคำว่า สวัสดีค่ะ – สวัสดีครับ
  • ควรจัดระเบียบโต๊ะทำงานของคุณให้ดี เรียบร้อยเป็นระเบียบ ไม่ควรไปยุ่งกับโต๊ะทำงานของเพื่อนร่วมงาน หยิบจับของใช้บนโต๊ะของเรา ถ้าจำเป็นจริงๆควรขอยืมก่อนที่จะหยิบจับ
  • เมื่อทำงานไปได้สักพัก เจอเพื่อนร่วมงานชอบนินทา เราควรหลีกเลี่ยง พยายามไม่ใส่ความคิดของเราเข้าไป ถ้าเดินหนีได้ให้เดินหนี อาจจะอ้างว่าตอนนี้มีงานด่วน ขอตัวก่อนนะคะ
  • หลังเลิกงาน อาจจะมีเพื่อนร่วมงานชวนไปสังสรรต่อ ถ้าเราไม่อยากไป ควรกล่าวคำขอโทษ บอกว่าเราติดธุระ หรือไม่สะดวกที่จะไป … แต่ควรไปบ้าง เพื่อมารยาทที่ดี ไม่ควรปฏิเสธทุกครั้ง
  • ไม่ควรพกโทรศัพท์มือถือเข้าไปในที่ประชุม ถ้าเราต้องรอโทรศัพท์ที่สำคัญจริงๆก็ให้ปิดเสียง แล้วขอตัวออกมารับโทรศัพท์ด้านนอกห้องประชุม
  • ไม่ควรพูดจาข่มเหงเพื่อนร่วมงาน หรือชิงดีชิงเด่นกันในที่ทำงาน เพราะจะทำให้เราเสียงานหรือเสียเพื่อน แถมสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราได้รับโอกาสในการทำงานที่ตำแหน่งสูงขึ้น เราควรคิดถึงใจเขาใจเรา ถ้าทำได้แบบนี้ ถึงแม้ว่าคุณจะอายุน้อยกว่าลูกน้อง แต่ถ้าคุณซื้อใจเขาได้ คุณก็สามารถที่จะให้งานเขาทำได้
  • การให้อภัยกัน อยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก มักจะต้องมีเรื่องผิดใจกันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราทำผิดเราควรขอโทษ ถ้าเขาทำผิด เราควรให้อภัย จึงจะอยู่ร่วมกันได้
อย่าลืมนะคะ เมื่อเราเข้าไปในที่ทำงาน เราควรทำตัวให้กลมกลืนกับที่ทำงานนั้นๆ ไม่ควรไปทำให้ที่ทำงานแตกแยก ขอให้คุณโชคดี ในการทำงาน และหน้าที่การงานในวันข้างหน้านะคะ

เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง


เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง


สำหรับคนที่ไม่ถนัด ไม่ชอบภาษาอังกฤษ มีปัญหากับการใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆ อยากจะเรียน อยากจะรู้ภาษาอังกฤษ ลองอ่านคำแนะนำ วิธีจดจำ วิธีเรียนภาษาอังกฤษที่นำมาฝากนะคะ
วิธีเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง
  1. ขั้นตอนแรกก็คือ จะต้องชอบและรักการเรียนรู้ ไม่ต่อต้านภาษาอังกฤษ ว่ายาก
  2. อ่านและจดจำคำภาษาอังกฤษ ฝึกฝนทบทวนอยู่เสมอ
  3. หาเพลงฝรั่ง พยายามแกะเนื้อหาเพลงนั้นๆ ว่าเกี่ยวข้องกับอะไร
  4. ดูหนังฝรั่ง  เพื่อฝึกการแปลความหมาย ของประโยค และคุ้นกับคำศัพท์ที่เป็นประโยคคำพูด
  5. พยายามอ่าน คำศัพท์ภาษาอังกฤษบ่อยๆ ทำเป็นประจำทุกๆวัน อาจจะอ่านจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ นิตยสาร … อื่นๆ
  6. ฝึกเขียนภาษาอังกฤษอยู่เสมอ เช่นเขียนเป็นเรื่อง เขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรืออาจจะเขียนเป็นนิยาย…
  7. ฝึกพูดกับชาวต่างชาติ ในสมัยนี้เทคโนโลยีก้าวไกล ไม่ต้องส่งจดหมายนานๆ เป็นอาทิตย์กว่าจะถึง กว่าจะได้ตอบ ลองหาเพื่อนต่างชาติจากอินเทอร์เน็ต เขียนประโยคโต้ตอบกัน อาจจะทาง E-mail, Facebook, MSN, …
  8. หรืออาจจะฝึกจากสิ่งที่เราชอบ เช่น ชอบเล่นเกมส์ ปกติเล่นเกมส์จะมีคำบรรยายเกมส์เป็นภาษาอังกฤษ ให้ฝึกอ่าน ฝึกแปลคำศัพท์เอง ถ้าแปลไม่ออกก็เล่นไม่ได้ เหมือนเป็นการบังคับตัวเองไปในตัวค่ะ
อย่าลืมนะคะ การฝึกฝน ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน เป็นการฝึกฝนที่ดี พยายามฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ รักการเรียนรู้ วันนี้เราอาจจะจดจำคำศัพท์ได้น้อย แต่ถ้าเราค่อยๆสะสมวันละเล็กละน้อย วันข้างหน้ามันก็จะพอกพูนขึ้นเองค่ะ ถ้าเราขี้เกียจ เราก็จะไม่มีวันเก่งขึ้นหรอกค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ (Goodnight) / ฟักกลิ้ง ฮีโร่ Feat. ธีร์ ไชยเดช

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการอ่านหนังสือยังไงน่ะให้จำง่ายๆ





ข้อที่ 1. น้องๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยล่ะ ดูซิ!!!ว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีท เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะค่ะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะค่ะ
ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ
1ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ
ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้น้องๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?"  อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ น้องๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง
1ข้อที่ 6.นั้นงัยๆๆๆพี่บอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!น้องๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนน้องๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่พี่เฉลย น้องก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนน้องๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่พี่บอกไว้ในข้อที่ 5 นะค่ะ
1ข้อที่ 7.อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าน้องๆอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากน้องๆ จะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ
1ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ น้องๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อน้องๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้น้องๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)
ข้อที่ 9.นั้นแน่ๆ พี่รู้นะว่าน้องๆเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าพี่จะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าน้องๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ
1ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกพี่ให้น้องๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่าน่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่น้องๆจำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)
1ข้อที่ 11.เอาละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย น้องๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนน้องคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่ะน้องๆ