น่ารักอะ


ความรู้มากมาย

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

สูตรขนมไทย

สูตรขนมหวานไทย : ฝอยทอง

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* ไข่เป็ด 5 ฟอง
* ไข่ไก่ 5 ฟอง
* น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
* ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ(ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านป้าน)
* น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
* กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
* ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)


      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก
2. ผสมไข่แดง, ไข่น้ำค้างและน้ำมันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว
3. นำน้ำลอยดอกมะลิผสมกับน้ำตาลในกระทะทองเหลืองและนำไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจนเดือด
4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวยและนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลม สอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการ
5. จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างทางเล่นในวันสบายๆ


สูตรขนมหวานไทย : ทองหยอด

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* ไข่เป็ด 18 ฟอง
* แป้งทองหยอด 1 ถ้วยตวง (หรือแป้งข้าวเจ้า)
* น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
* น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง










      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมน้ำลอยดอกไม้กับน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง แล้วนำไปตั้งไฟแรงให้เดือด เคี่ยวทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงแบ่งน้ำเชื่อมส่วนหนึ่งออกมาสำหรับแช่ทองหยอดที่สุกแล้ว
2. ต่อยไข่ แยกไข่ขาวออก ใช้เฉพาะไข่แดง โดยนำไข่แดงไปกรองในผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก จากนั้นจึงตีไข่แดงให้ขึ้นฟู จากนั้นค่อยๆผสม แป้งทองหยอดลงไปและคนให้แป้งและไข่แดงเข้ากัน
3. นำไข่แดงที่ผสมแป้งเรียบร้อยไปหยอดในน้ำเชื่อม สำหรับวิธีหยอดนั้นให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง หยิบส่วนผสมมาเป็นลูกขนาดพอประมาณ แล้วจึงสบัดลงไปในน้ำเชื่อม ทำเช่นนี้จนเต็มกระทะทองเหลือง จากนั้นรอจนทองหยอดสุกจึงตักออกมาพักใส่ในน้ำเชื่อมที่แยกไว้ก่อนหน้านี้ (ทองหยอดที่สุกจะลอยขึ้น)
4. จัดทองหยอดใส่จานเสริฟเป็นของว่างหรือของทานเล่นในวันพักผ่อนสบายๆ





 สูตรขนมหวานไทย : ขนมทองหยิบ

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม



* ไข่เป็ด 8 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)
* น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
   (เคล็ดลับ : อัตราส่วนมาตรฐานทั่วไป
   น้ำ 1 ส่วน : น้ำตาล 1/2 ส่วน)










      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมน้ำเปล่าและน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นำไปตั้งบนไฟอ่อนจนละลายปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นนำไปกรองด้วย ผ้าขาวบางหนึ่งครั้ง
2. นำน้ำเชื่อมที่กรองแล้วไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กะพอให้น้ำเชื่อมร้อนจัดแต่ไม่ให้เดือดพล่าน
3. ใส่ไข่แดงลงในถ้วย ตีจนขึ้นฟู เมื่อน้ำเชื่อมร้อนได้ที่ ใช้ช้อนตักไข่แดงที่ตีจนฟู หยอดลงในน้ำเชื่อม ไข่จะแผ่เป็นวงกลม ใช้ช้อนกลับหน้าสักครั้งเพื่อให้สุกทั่วทั้งสองด้าน จากนั้นจึงตักขึ้น
4. รอจนหายร้อน จึงจับจีบโดยใช้นิ้วมือหยิบ 5 หยิบแล้วใส่ลงในถ้วยตะไลหรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้


 สูตรขนมหวานไทย : ขนมวุ้นมะพร้าวอ่อน

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม








* หัวกะทิ 200 กรัม
* วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำเปล่า 500 กรัม
* น้ำตาลทราย 150 กรัม
* เนื้อมะพร้าวอ่อน 50 กรัม
* น้ำมะพร้าวอ่อน 200 กรัม





 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำหัวกะทิใส่หม้อและนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ใส่เกลือลงไป คนให้ละลาย ปิดไฟทันที (อย่าให้กะทิแตกมัน)
2. ตั้งกระทะทองเหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) บนไฟร้อนปานกลาง ใส่น้ำเปล่าและวุ้นผง ลงไป รอจนเดือดใส่น้ำตาลทรายลงไป คนจนละลายจึงลดไฟลง
3. นำเนื้อมะพร้าวและน้ำมะพร้าวไปปั่นให้เข้ากัน แล้วใส่ลงในส่วนผสมวุ้น (ในข้อ 2) ใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวอีก สักพัก จึงใส่กะทิที่เตรียมไว้ในข้อหนึ่งลงไป คนให้เข้ากันเสร็จึงปิดไฟ (หมายเหตุ : น้ำมะพร้าวอ่อนต้องหวาน เพราะเมื่อนำไปผสมทำวุ้นแล้วจะทำให้รสชาตเเปรี้ยวเหมือนวุ้นเสีย ถ้าไม่มีน้ำมะพร้าวอ่อนหวานให้ใช้น้ำลอยดอกไม้แทน)
4. เทส่วนผสมวุ้นลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้หายร้อน จึงนำเข้าไปแช่ในตู้เย็น
5. เคาะวุ้นออกจากแบบ จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆ






ข้อควรรู้ มารยาทในที่ทำงาน


ข้อควรรู้ มารยาทในที่ทำงาน

ในการทำงานแต่ละที่ แต่ละออฟฟิตจะมีเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง เมื่อเราเข้าไปทำงานใหม่ๆ เราอาจจะต้องปรับตัวให้เข้ากับองค์กร ศึกษาว่า ที่นี่เค้าทำงานกันอย่างไร เราควรวางตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม เข้ากับองค์กรนั้นๆ
  • ก่อนอื่น เราควรแต่ตัวให้สุภาพ แต่งตัวให้สะอาด เรียบร้อย เราควรสังเกตตอนเรามาสัมภาษณ์งานว่าองค์กรนี้แต่งตัวเน้นไปทางไหน เช่น ผู้หญิง ใส่กระโปรง ชุดเดรส หรือ ชุดสูท…
  • การแต่งหน้า เราควรแต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติ ไปจัดจ้าน หรือจืดชืดเกินไป เมื่อเราแต่งตัว แต่งหน้าเสร็จแล้ว เราควรไปถึงที่ทำงานเช้าๆ ไม่ไปสายตั้งแต่วันแรกของการทำงาน
  • เมื่อไปถึงที่ทำงาน ควรยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายพนักงาน เพื่อนร่วมงาน แนะนำตัวเอง และควรจดจำชื่อเพื่อนร่วมงานให้มากที่สุด เมื่อเจอหัวหน้างานหรือผู้ใหญ่กว่า มีอายุมากกว่า ควรไหว้ หรือแสดงความเคารพ ด้วยความจริงใจ และกล่าวคำว่า สวัสดีค่ะ – สวัสดีครับ
  • ควรจัดระเบียบโต๊ะทำงานของคุณให้ดี เรียบร้อยเป็นระเบียบ ไม่ควรไปยุ่งกับโต๊ะทำงานของเพื่อนร่วมงาน หยิบจับของใช้บนโต๊ะของเรา ถ้าจำเป็นจริงๆควรขอยืมก่อนที่จะหยิบจับ
  • เมื่อทำงานไปได้สักพัก เจอเพื่อนร่วมงานชอบนินทา เราควรหลีกเลี่ยง พยายามไม่ใส่ความคิดของเราเข้าไป ถ้าเดินหนีได้ให้เดินหนี อาจจะอ้างว่าตอนนี้มีงานด่วน ขอตัวก่อนนะคะ
  • หลังเลิกงาน อาจจะมีเพื่อนร่วมงานชวนไปสังสรรต่อ ถ้าเราไม่อยากไป ควรกล่าวคำขอโทษ บอกว่าเราติดธุระ หรือไม่สะดวกที่จะไป … แต่ควรไปบ้าง เพื่อมารยาทที่ดี ไม่ควรปฏิเสธทุกครั้ง
  • ไม่ควรพกโทรศัพท์มือถือเข้าไปในที่ประชุม ถ้าเราต้องรอโทรศัพท์ที่สำคัญจริงๆก็ให้ปิดเสียง แล้วขอตัวออกมารับโทรศัพท์ด้านนอกห้องประชุม
  • ไม่ควรพูดจาข่มเหงเพื่อนร่วมงาน หรือชิงดีชิงเด่นกันในที่ทำงาน เพราะจะทำให้เราเสียงานหรือเสียเพื่อน แถมสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราได้รับโอกาสในการทำงานที่ตำแหน่งสูงขึ้น เราควรคิดถึงใจเขาใจเรา ถ้าทำได้แบบนี้ ถึงแม้ว่าคุณจะอายุน้อยกว่าลูกน้อง แต่ถ้าคุณซื้อใจเขาได้ คุณก็สามารถที่จะให้งานเขาทำได้
  • การให้อภัยกัน อยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก มักจะต้องมีเรื่องผิดใจกันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราทำผิดเราควรขอโทษ ถ้าเขาทำผิด เราควรให้อภัย จึงจะอยู่ร่วมกันได้
อย่าลืมนะคะ เมื่อเราเข้าไปในที่ทำงาน เราควรทำตัวให้กลมกลืนกับที่ทำงานนั้นๆ ไม่ควรไปทำให้ที่ทำงานแตกแยก ขอให้คุณโชคดี ในการทำงาน และหน้าที่การงานในวันข้างหน้านะคะ

เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง


เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง


สำหรับคนที่ไม่ถนัด ไม่ชอบภาษาอังกฤษ มีปัญหากับการใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆ อยากจะเรียน อยากจะรู้ภาษาอังกฤษ ลองอ่านคำแนะนำ วิธีจดจำ วิธีเรียนภาษาอังกฤษที่นำมาฝากนะคะ
วิธีเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง
  1. ขั้นตอนแรกก็คือ จะต้องชอบและรักการเรียนรู้ ไม่ต่อต้านภาษาอังกฤษ ว่ายาก
  2. อ่านและจดจำคำภาษาอังกฤษ ฝึกฝนทบทวนอยู่เสมอ
  3. หาเพลงฝรั่ง พยายามแกะเนื้อหาเพลงนั้นๆ ว่าเกี่ยวข้องกับอะไร
  4. ดูหนังฝรั่ง  เพื่อฝึกการแปลความหมาย ของประโยค และคุ้นกับคำศัพท์ที่เป็นประโยคคำพูด
  5. พยายามอ่าน คำศัพท์ภาษาอังกฤษบ่อยๆ ทำเป็นประจำทุกๆวัน อาจจะอ่านจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ นิตยสาร … อื่นๆ
  6. ฝึกเขียนภาษาอังกฤษอยู่เสมอ เช่นเขียนเป็นเรื่อง เขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรืออาจจะเขียนเป็นนิยาย…
  7. ฝึกพูดกับชาวต่างชาติ ในสมัยนี้เทคโนโลยีก้าวไกล ไม่ต้องส่งจดหมายนานๆ เป็นอาทิตย์กว่าจะถึง กว่าจะได้ตอบ ลองหาเพื่อนต่างชาติจากอินเทอร์เน็ต เขียนประโยคโต้ตอบกัน อาจจะทาง E-mail, Facebook, MSN, …
  8. หรืออาจจะฝึกจากสิ่งที่เราชอบ เช่น ชอบเล่นเกมส์ ปกติเล่นเกมส์จะมีคำบรรยายเกมส์เป็นภาษาอังกฤษ ให้ฝึกอ่าน ฝึกแปลคำศัพท์เอง ถ้าแปลไม่ออกก็เล่นไม่ได้ เหมือนเป็นการบังคับตัวเองไปในตัวค่ะ
อย่าลืมนะคะ การฝึกฝน ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน เป็นการฝึกฝนที่ดี พยายามฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ รักการเรียนรู้ วันนี้เราอาจจะจดจำคำศัพท์ได้น้อย แต่ถ้าเราค่อยๆสะสมวันละเล็กละน้อย วันข้างหน้ามันก็จะพอกพูนขึ้นเองค่ะ ถ้าเราขี้เกียจ เราก็จะไม่มีวันเก่งขึ้นหรอกค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ (Goodnight) / ฟักกลิ้ง ฮีโร่ Feat. ธีร์ ไชยเดช

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการอ่านหนังสือยังไงน่ะให้จำง่ายๆ





ข้อที่ 1. น้องๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยล่ะ ดูซิ!!!ว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีท เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะค่ะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะค่ะ
ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ
1ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ
ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้น้องๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?"  อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ น้องๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง
1ข้อที่ 6.นั้นงัยๆๆๆพี่บอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!น้องๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนน้องๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่พี่เฉลย น้องก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนน้องๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่พี่บอกไว้ในข้อที่ 5 นะค่ะ
1ข้อที่ 7.อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าน้องๆอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากน้องๆ จะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ
1ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ น้องๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อน้องๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้น้องๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)
ข้อที่ 9.นั้นแน่ๆ พี่รู้นะว่าน้องๆเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าพี่จะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าน้องๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ
1ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกพี่ให้น้องๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่าน่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่น้องๆจำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)
1ข้อที่ 11.เอาละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย น้องๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนน้องคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่ะน้องๆ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชวนทำเค้กวนิลาแสนอร่อย

ชวนทำเค้กวนิลาแสนอร่อย



เนื่องจากได้อ้อเดอร์เค้กวันเกิด ก็เลยมีเค้กมาอวดอีกแล้วค่า.. ไม่อวดอย่างเดียวมีสูตรเค้กวนิลามาฝากด้วย สูตรนี้ทำไม่ยากเลย จะยากก็ตอนแต่งหน้าแหละค่ะ

 







ถ้าดูในภาพหน้าเค้กไม่ค่อยเรียบเท่าไหร่เพราะแต่งด้วยครีมสด แต่งยากกว่าบัตเตอร์ครีมค่ะ แต่ว่าอร่อยกว่าบัตเตอร์ครีม (ความเห็นส่วนตัว) อีกอย่างวันนี้อากาศขมุกขมัยยังไงไม่ทราบ อารมณ์ก็เลยบูด ๆ ตามไปด้วยอ่ะ หน้าตาเค้กยังสวยไม่ถูกใจ แต่รับรองว่ารสดีค่ะ
มาดูส่วนผสมกันเลย
แป้งเค้ก 1 3/4 ถ้วย 175 กรัม
ผงฟู 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย (1) 1/2 ถ้วย หรือ 100 กรัม
เกลือ หยิบมือค่ะ หรือประมาณ 1/4 ช้อนชา
ไข่แดง 3 ฟอง
ไข่ขาว 3 ฟอง
น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย
น้ำ 1/2 ถ้วย
กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย (2) 1/4 ถ้วย หรือ 50 กรัม
แนะนำก่อนลงมือทำซักหน่อย
น้ำตาลทรายควรใช้น้ำตาลทรายเนื้อละเอียดนะค่ะ จะได้เนื้อเค้กดี ละเอียด
วิธีทำ
1. เตรียมเตาอบ 180 C เตรียมพิมพ์เค้ก ด้วยการทาเนยที่พิมพ์แล้วตัดกระดาษไขรองพื้นพิมพ์ แล้วทาเนยบนกระดาษไขอีกที
2. ร่อนแป้งกับผงฟู และน้ำตาลให้เข้ากัน
3. แยกไข่ขาว และไข่แดง
4. ผสมไข่แดง น้ำ, น้ำมัน กลิ่นวนิลา ดีพอเข้ากัน
5. เทลงในส่วนผสมของแป้ง คนพอเข้ากันนะค่ะ อย่าคนมากเกินไป จะเป็นการสร้างตัวของกลูเตนทำให้เค้กมีเนื้อเหนียว พักแล้ว
6. ตีไข่ขาว พอขึ้นนวล แล้วค่อย เติมน้ำตาลทราย 2 ลงไปทีละน้อย อย่าเติมทีเดียวหมดนะค่ะจำทำให้ไข่ขาวยุบตัว เค้กจะไม่ฟูสวย
7. ตักไข่ขาวประมาณ 1/3 ส่วน ใช้พายยาง คนให้เข้ากับส่วนผสมของแป้ง แล้วจึงตักส่วนที่เหลือ ผสมพอเข้ากัน


8. เทใส่พิมพ์แล้วนำเข้าเตาอบประมาณเออกี่นาทีจำไม่ได้อ่ะค่ะ เอาเป็นว่าพอสุก ทดสอบว่าเค้กสุกด้วยการใช้ไม้จิ้มลงไปตรงกลางเค้ก ถ้าไม้แห้งไม่มีเนื้อเค้กติดออกมาเป็นอันว่าใช้ได้ค่ะ
ก่อนนำมาแต่งหน้าให้พักไว้ให้เย็น แล้วแต่งหน้าตามต้องการค่ะ
ภาพที่เห็นแต่งหน้าด้วยครีมสด
ส่วนผสม
ครีมสด (double cream)
น้ำตาลทราย








นำทั้งสองอย่างตีให้เข้ากันจนขึ้นฟู แล้วนำมาแต่งหน้าหรือสอดไส้เค้กตามต้องการค่ะ
ทีเหลือก็ ให้อารมณ์ศิลปินในตัวช่วยได้เลย ไม่ยากมีผลไม้อะไรก็ใส่เข้าไปตามชอบเลยค่า ดิฉันจะใส่สตอเบอรี่เป็นส่วนใหญ่เนื่อจาก จะมีติดตู้เย็นอยู่เสมอ อีกอย่างเวลาใช้แต่งหน้าเค้กแล้วดูสวยน่ารักดี...





ประเพณีไทย






ประเพณีไทยอันดีงามที่สืบทอดต่อกันมานั้น ล้วนแตกต่างกันไปตามความเชื่อ ความผูกพันของผู้คนต่อพุทธศาสนา

และการดำรงชีวิตที่สอด
ประสานกับฤดูกาลและธรรมชาติอย่างชาญฉลาดของชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น ทั่วแผ่นดินไทย เช่น



ภาคเหนือ ประเพณีบวชลูกแก้วของคนไตหรือชาวไทยใหญ่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ภาคอีสาน ประเพณีบุญบั้งไฟของชาวจังหวัดยโสธร           
ภาคกลาง ประเพณีทำขวัญข้าวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา   
ภาคใต้ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็น ต้น นอกจากนี้
ประเพณีและอารยธรรมไทยยังนำมาซึ่งการท่องเทียว เป็นที่รู้จักและประทับใจแก่ชาติอื่น นับเป็นมรดกอันลำค่าที่เรา ...
คนไทยควรอนุรักษ์และสืบสานให้ยิ่งใหญ่ตลอดไป


ผลไม้ไทยได้ประโยชน์

ผลไม้ไทยได้ประโยชน์


  ของดีของเมืองไทยนั้นมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะผลไม้ไทย ที่ให้ทั้งประโยชน์ และคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกาย ในผลไม้แต่ละชนิดต่างมีรสชาติ กลิ่น และรูปร่างที่แตกต่างกัน ซึ่งผลไม้แต่ละชนิดก็จะใช้สารอาหาร แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน วิตามิน แร่ธาตุ น้ำ และเส้นใยอาหาร เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย หากต้องการรับประโยชน์จากผลไม้อย่างเต็มที่ ... ควรรับประทานผลไม้สด และไม่ทิ้งไว้นาน หลังการปอก หรือหั่น หากเป็ยผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธีถนอมอาหาร หรือนำมาเป็นขนมอบ จะทำให้ปริมาณสารอาหารลดลงได้ และถ้าจะให้ดี ต้องทานผลไม้ตามฤดูกาล เพราะผลไม้ในฤดูนั้นๆ จะออกดอกออกผลตามธรรมชาติ สามารถหาซื้อได้ง่าย และมีราคาถูก

        ผลไม้ ... พลังบำบัดความสดชื่นจากธรรมชาติ การรับประทานผลไม้เป็นประจำ จะทำให้รู้สึกสดชื่น และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว มีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลอย่างเห็นได้ชัด ผลไม้ ... ยังเปี่ยมไปด้วยสรรคุณทรงคุณค่า ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรค และกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย รวมไปถึงการเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย

    นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของผลไม้ไทย ... ได้ประโยชน์ เห็นมั๊ยคะว่า คนไทยนั้นมีของดีอยู่มากมาย ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะนำของดีอย่าง ... ผลไม้ไทยเหล่านี้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่างร่างกายหรือเปล่า ? คุณสมบัติของผลไม้ดีๆ ที่นอกเหนือจากรสชาติที่อร่อยนี้ หาได้ไม่ยาก ถ้าอย่างนั้น เรามาทำความรู้จักกับผลไม้ไทย ... ได้ประโยชน์กันดีกว่า



... กล้วย ...

    กล้วย ... เป็นผลไม้ที่สามารถหากินกันได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยหักมุก หรือกล้วยไข่ นอกจากนี้จะมีรสชาติหอมหวานแล้ว ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรตสูง และมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยออกมาว่า กินกล้วยเป็นประจำแค่สัปดาห์ละ 2 ผล จะช่วยลดความดันเลือดลงไปได้ถึง 10% เพราะเอนไซม์ในกล้วยจะไปช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่องตัวขึ้น และเมื่อไหร่ที่รู้สึกเครียด กล้วยก็ยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้ เพราะในกล้วยมีโปแตสเซียม ถือได้ว่า กล้วยสามารถเป็นยารักษาโรคเบื้องต้น ที่มีราคาถูก และหาซื้อได้ง่ายตลอดปี
    นอกจากนี้ กล้วยสุกงอม ... ยังเป็นอาหารชั้นดี สำหรับเด็กทารก ตั้งแต่อายุ 3 เดือน ถึง 2 ขวบ เป็นผลไม้ที่ช่วยให้เด็กทารเจริญเติบโต ได้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่ในผู้ใหญ่ ก็ยังช่วยแก้โรคท้องผูก ท้องร่วง อาหารไม่ย่อย เพราะมีสารพวกเปคติน (pectin) อยู่มาก เป็นการช่วยเพิ่มกากอาหาร และมีเมือกลื่นช่วยให้ถ่ายสะดวก เพียงแค่กินกล้วยสุกวันละ 2-4 ผล คุณประโยชน์จากกล้วย ก็จะทำให้มีสุขภาพดีได้
    เกร็ดเล็ก ... น่ารู้ สำหรับสาววัยแรกรุ่น ... กล้วยไข่ยังมีความพิเศษในเรื่อง ของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สามารถเป็นผู้ช่วยในการดูแลผิวพรรณได้อีกด้วย
    ฤดูการน่าซื้อ : กล้วย ... หาซื้อได้ง่ายตลอดปี แต่ถ้าเป็นกล้วยไข่ จะให้ผลผลิตมาก ในเดือน สิงหาคม - พฤศจิกาย




... ขนุน ...

    ขนุน ... จัดเป็นผลไม้ไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ในรสชาติ และมีกลิ่นอันหอมหวาน อีกทั้งผลขนุนยังมีสรรพคุณ ในการรักษาโรคต่างๆ มากมาย อาทิ
    เนื้อของผลขนุน ช่วยย่อยอาหาร ช่วยดูดซึมแก้พิษ จากการดื่มนม และยังช่วยแก้กระหายได้เป็นอย่างดี
    ใบของต้นขนุนตากแห้ง สามารถใช้ห้ามเลือด และเป็นยาสมานแผลได้
    ยางของขนุนมีสรรพคุณในการแก้ปวด ลดอาการอักเสบ บวม สามารถรักษาอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบ และรักษาแผลเปื่อยเรื้อรังให้หายได้
    เกร็ดเล็ก ... น่ารู้ สำหรับสตรีหลังคลอด ... เม็ดขนุนมีสรรพคุณในการช่วยเพิ่มน้ำหนักได้
    ฤดูการน่าซื้อ : ขนุน ... จะให้ผลผลิตมากในเดือนมกราคม - พฤษภาคม







... เงาะ ...

    เงาะ ... เป็นผลไม้ที่มีรูปลักษณ์แปลก และโดดเด่น มีลักษณะผลค่อนข้างกลมรี สีเหลือง - อดง หรือแดงปนเหลือง มีขนอยู่โดยรอบ เนื้อภายในผลมีลักษณะอ่อนนุ่ม สีขาวใส หรืออมเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เงาะอุดมไปด้วยวิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส ในเนื้อเงาะมีสรรพคุณในการรักษาอาการท้องร่วง ได้เป็นอย่างดี
    เปลือกของผลเงาะยังสามารถช่วยแก้อักเสบในช่องปาก โดยการนำเปลือกของผลเงาะต้มสุกมาต้มกินกับน้ำ จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และรักษาอาการอักเสบภายในช่องปากได้
    ข้อควรระวัง เม็ดของเงาะมีพิษ หากกินเข้าไปแล้วจะทำให้คลื่นไส้อาเจียน
    ฤดูการน่าซื้อ : เงาะ ... จะให้ผลผลิตมากในเดือนพฤษภาคม + กันยายน



... แตงโม ...

    แตงโม ... เป็นผลไม้ที่สมาคมโรคหัวใจในอเมริกายอมรับว่า แตงโมมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะมีน้ำอยู่ถึงร้อยละ 92 ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ มีปริมาณ Glutathione มหาศาล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มี Lycopene มาก และสามารถป้องกันโรคมะเร็งที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณช่วยลดความร้อนภายในร่างกาย ช่วยป้องกันและรักษาอาการของโรคไข้หวัด หรือเจ็บคอ ช่วยลดความดันโลหิต และยังช่วยในการซับน้ำปัสสาวะได้ดี
    เนื้อของแตงโม นอกจากจะมีรสหวานแล้ว ยังมีสรรพคุณในการเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยในการย่อย แถมยังทำให้เจริญอาหาร เพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิต และขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างหมดจด
    เกร็ดเล็ก ... น่ารู้ สำหรับผู้ป่วยโรคไตอักเสบเรื้อรัง ... สามารถนำเปลือกแตงโมมาต้ม และเครี่ยวจนข้น เพื่อนำมาบรเทาอาการโรคได้
    ฤดูการน่าซื้อ : แตงโม ... หาซื้อได้ง่ายตลอดปี แต่ถ้าจะให้ดี แตงโมจะให้ผลผลิตมากในเดือนตุลาคม - มีนาคม







... ทุเรียน ...

 
  ทุเรียน ... เป็นผลไม้เมืองร้อยที่เก่าแก่ชนิดหนึ่ง จัดได้ว่าเป็นผลไม้ที่เชิดหน้าชูตาของคนไทย เพราะมีเอกลักษณ์โดดเด่นสูง ทั้งในรูปร่าง กลิ่น และรสชาติ นับได้ว่าทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีคุณภาพดีที่สุด และเป็นที่นิยมทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ นอกจากทุเรียนจะมีรสชาติที่อร่อยแล้ว นื้อของทุเรียนยังให้คุณค่าทางสารอาหาร อย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส และมีวิตามินสูง ีอีกทั้งยังช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี
    เนื้อของแตงโม นอกจากจะมีรสหวานแล้ว ยังมีสรรพคุณในการเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยในการย่อย แถมยังทำให้เจริญอาหาร เพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิต และขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างหมดจด
    ข้อควรระวัง สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และโรคอ้วน ... ไม่ควรกินทุเรียนมากเกินไป เพราะทุเรียนจัดว่าเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง เป็นอันดับต้นๆ ทำให้แคลอรี่ในร่างกายสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
    ฤดูการน่าซื้อ : ทุเรียน ... จะให้ผลผลิตมากในเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม







ประวัติรถเบนซ์

เมร์เซเดส-เบนซ์ MERCEDES-BENZ


เมร์เซเดส-เบนซ์ หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เบนซ์ นับเป็นรถเยอรมันุคณภาพเยี่ยมอีกยี่ห้อหนึ่ง สัญลักษณ์ของรถยี่ห้อนี้ เป็นรูปดาวสามแฉกล้อมรอบด้วยวงกลม ผู้ผลิตรถเมร์เซเดส-เบนซ์ คือ บริษัท ไดมเลร์-เบนซ์ อาเก ( DAIMLER-BENZ AG) แห่งเยอรมนี ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาป ภายใน บริษัท ไดมเลร์-เบนซ์ อาเก ถือกำเนิดในปี 1926 โดยเป็นผลลัพธ์จากการรวมตัวของผู้ผลิตรถยนต์สองรายที่มีบทบาทอย่างสำคัญต่ออุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ยุคบุกเบิก คือ บริษัท DAIMLER MOTORENGESELLS- CHAFT ซึ่ง โกทท์ลีบ ไดมเลร์ (GOTTLIEB DAIMLER) ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ประดิษฐ์รถยนต์สี่ล้อคันแรกของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 1890 กับบริษัท BENZ & CIE ของคาร์ล เบนซ์ (CARL BENZ) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลกที่ผลิตรถยนต์ออกจำหน่าย และขณะที่รวมกิจการเข้าด้วยกันโกทท์ลีบ ไดมเลร์ได้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 10 ปี

ส่วนชื่อ เมร์เซเดส (MERCEDES) ซึ่งเป็นชื่อยี่ห้อรถนั้น มีจุดเริ่มต้นในปีที่โกทท์ลีบ ไดมเลร์ถึงแก่กรรมเมื่อ วิลเฮล์มมายบัค (WILHELM MAYBACH) ผู้สืบทอดกิจการจากโกทท์ลีบ ไดมเลร์ได้ตั้งขื่อรถขนาด 35 แรงม้า ที่ส่งเข้าแข่งขันและได้รับชัยชนะที่เมืองนีศ ในประเทศผรั่งเศสว่า “เมร์เซเดส” ตามชื่อธิดาคนโตของเอมิลเจลลิเนค (EMIL JELLNEK) นายธานคารชาวออสเตรียซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถให้แก่ไดมเลร์ในขณะนั้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเมร์เซเดสก็ได้กลายชื่อยี่ห้อรถของไดมเลร์ ครั้นเมื่อรวมกิจการเข้ากับเบนซ์ในอีก 26 ปีต่อมา รถที่บริษัทใหม่นี้ผลิตออกจำหน่ายก็ใช้ชื่อ “เมร์เซเดส-เบนซ์” และใช้เครื่องหมายดาวสามแฉกล้อมรอบด้วยวงกลมเป็นสัญลักษณ์ติดต่อกันมาตราบจนปัจจุบัน ไดมเลร์-เบนซ์ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ที่สามารถประยุกต์ขบวนการผลิตแบบ MASS PRODUCTION หรือ “มวลผลิต” เข้ากับการผลิตรถระดับหรู หรือ EXOTIC CAR ปัจจุบัน ไดมเลร์-เบนซ์ มีฐานะเป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่มียอดขายสูงสุดของเยอรมนี

ในปี 1990 ไดมเลร์-เบนซ์ ทำยอดขายได้รวมทั้งสินประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท และนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 1989 เป็นต้นมา ไดมเลร์-เบนซ์ ได้แยกกิจการผลิตรถยนต์ออกเป็นบริษัทเอกเทศมีชื่อว่าบริษัท เมร์เซเดส-เบนซ์ อาเก (MERCEDES-BENZ AG) บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ มีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของเยอรมนี ในปี 1990 เมร์เซเดส-เบนซ์ผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้น 574,395 คันและมีรายได้จากการขายรถยนต์นั่งรวมทั้งสิ้นประมาณ 568,000 ล้านบาท ปัจจุบัน เมร์เซเดส-เบนซ์ ผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายรวม 4 อนุกรม คือ อนุกรม ดับบลิว 201 (W201) อนุกรม ดับบลิว 124 (W124) อนุกรม ดับบลิว 140 (W140) และอนุกรม อาร์ 129 (R 129) เมร์เซเดส-เบนซ์ มีโรงงานในเยอรมนีรวม 11 โรง มีบริษัทสาขารวม 43 บริษัท มีพนักงานในเยอรนีมากกว่า 182,000 คน และมีพนักงานทั่วโลกประมาณ 235,000 คัน

ชื่อบริษัท: เมร์เซเดส-เบนซ์ อาเก (MERCEDES-BENZ AG)
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1926
สำนักงานใหญ่: MERCEDESSTRASSE 136, 7000 STUTTGART 60, GERMANY,
ประธานบริษัท: ศาสตราจารย์ ดร.เวร์เนร์ นีฟเฟร์ (PROF.DR.WERNER NIEFER)
โรงงานในเยอรมนี: 11 โรงงาน
จำนวนพนักงาน: ประมาณ 235,000 คน
เว็บไซต์: www.mercedes-benz.de

รถรุ่นสำคัญ : ชตุทท์การ์ด 200 มันน์ไฮม์ (1926)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 170 วี (1935)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 260 ดี (1935)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสแอล (1954)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 600 (1963)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสอีแอล 3.5 (1969)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 280 ซีอี (1977)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 450 เอสแอสซี (1978)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 500 เอสแอสซี (1980)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 190 (1983)
เมร์เซเดส-เบนซ์ ดับบลิว 124 (1985)
เมร์เซเดส-เบนซ์ ดับบลิว 140 (1991)



เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น

ข้อมูลทั่วไป

ภูมิประเทศ
ญี่ปุ่นมีพื้นที่ 377,835 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของโลก จึงเป็นที่มาของชื่อ " ดินแดนอาทิตย์อุทัย " หมู่เกาะที่ทอดตัวยาวมีลักษณะเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ประกอบด้วย 4 เกาะใหญ่ ได้แก่ ฮอกไกโด ฮอนชู ชิโกกุ คิวชู และมีเกาะใหญ่น้อยอีกกว่า 6,800 เกาะ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีพื้นที่ราบเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น มีจังหวัดต่างๆ ทั้งหมด 47 จังหวัด (Prefecture) แบ่งเป็นเมืองต่างๆ รวมทั้งหมดมากกว่า 650 เมือง โดยมีโตเกียวเป็นเมืองหลวงของประเทศมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2411 ญี่ปุ่นมีขนาดเล็กกว่าไทยประมาณ 0.7 เท่า แต่มีประชากรมากกว่าประมาณ 2 เท่า 

ภูมิอากาศและฤดูกาล
ภูมิอากาศในแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกันออกไป เนื่องจากลักษณะพื้นที่ของประเทศที่ทอดตัวเป็นแนวยาว ทางเหนือ คือ เกาะฮอกไกโด มีอากาศหนาวจัดเกือบทั้งปี มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว ในขณะที่ทางใต้ คือคิวชูและโอกินาวาจะมีสภาพอากาศแบบเมืองร้อน และฝนตกชุกในฤดูฝน 






ญี่ปุ่นมี 4 ฤดูกาล คือ
ฤดูใบไม้ผลิ อยู่ระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม เป็นฤดูที่สวยงาม ดอกไม้บานสะพรั่ง คนญี่ปุ่นถือว่าเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ และเป็นช่วงเปิดเทอม ช่วงปลายเดือนเมษายน – ต้นเดือนพฤษภาคม (29 เมษายน ถึง 5 พฤษภาคม) เป็นช่วง Golden Week ของชาวญี่ปุ่นที่จะได้หยุดพักผ่อนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน

ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน – สิงหาคม ช่วงต้นฤดูร้อนจะมีฝนตกแทบทุกวันประมาณ 3-4 สัปดาห์ ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมอากาศร้อนชื้น และเป็นช่วงของการปิดภาคเรียนฤดูร้อน กิจกรรมที่นิยมกันมากที่สุดคือ การพักผ่อนตามชายหาด อาบแดด และแคมปิ้ง ในช่วงนี้ชาวญี่ปุ่นนิยมส่งการ์ดถึงกันและกันเพื่อถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูนี้ ซึ่งการ์ดนี้เรียกว่า Shochu mimai


ฤดูใบไม้ร่วง เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน – พฤศจิกายน เป็นฤดูที่แสนโรแมนติก ใบไม้สีเขียวสีแดงค่อยๆร่วงหล่นในบริเวณทั่วไป และฤดูนี้ยังเป็นช่วงชองการแข่งกีฬาระหว่างโรงเรียนอีกด้วย ในฤดูนี้จะมี 1 วันที่พระอาทิตย์ส่องแสงยาวนานที่สุด ซึ่งเรียกว่า Geshi

ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ ในช่วงนี้ภูมิภาคทางเหนืออย่าง ฮอกไกโด โตโฮกุ อากาศจะหนาวเย็นมากและมีหิมะตกหนัก แต่ในฤดูนี้มีเทศกาลที่มีความสำคัญที่สุดคือ ปีใหม่ คนในครอบครัวจะฉลองกันด้วย “บะหมี่ข้ามปี” หรือที่เรียกว่า Toshikoshi soba (ถือกันว่าบะหมี่นี้แทนความมีอายุยืน เพราะมีลักษณะเป็นเส้นยาว) และรอคอยฟังเสียงระฆังต้อนรับปีใหม่ ผู้ที่ตีระฆังนี้คือ พระและจะตีทั้งหมด 108 ครั้ง เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่า คนเราจะมีสิ่งไม่ดีอยู่ 108 อย่าง โดยเริ่มนับถอยหลังไปเรื่อยๆ เมื่อตีครบจำนวนจะเท่ากับว่า เราจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับสิ่งที่ดีๆ

ประชากร
ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127.5 ล้านคน (ตุลาคม 2545 ชาย 62.3 ล้านคน หญิง 65.2 ล้านคน) นับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก

ศาสนา
ศาสนาสำคัญในญี่ปุ่นมีสองศาสนา ได้แก่ ชินโต และพุทธศาสนา แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันกล่าวว่าพวกเขาไม่มีความเชื่อในศาสนาใดเป็นพิเศษ แต่ส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติตามประเพณีและพิธีกรรมของทั้งชินโตและพุทธศาสนา

ภาษา
ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการของญี่ปุ่น และในแต่ละภูมิภาคจะมีภาษาท้องถิ่นของตนเอง ภาษาอังกฤษ จะใช้บ้างในบางที่ เช่น สนามบิน โรงแรมใหญ่ๆ หรือสถานที่ราชการบางแห่งที่ต้องติดต่อสื่อสารกับคนต่างชาติ เด็กนักเรียนญี่ปุ่นจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเมื่ออยู่ชั้นมัธยมต้น แต่การเรียนการสอนมักจะเน้นเพื่อการสอบแข่งขันมากกว่าใช้ปฏิบัติจริง ดังนั้น แม้ว่าคนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นจะใช้ภาษาอังกฤษได้มากขึ้น แต่ภาษาญี่ปุ่นยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่น 






ระบบการเมืองการปกครอง
ประเทศญี่ปุ่นมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย

ระบบเศรษฐกิจ
ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานอุตสาหกรรมการผลิต รถยนต์คือหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นที่รู้จักกันดีที่สุด ในปี พ.ศ. 2539 ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์ รถโดยสารขนาดใหญ่ และรถบรรทุก ประมาณ 10.3 ล้านคัน มากเป็นที่สองของการผลิตรถยนต์ของโลก

ญี่ปุ่นยังเป็นผู้นำของโลกในอุปกรณ์โทรคมนาคม ย่านอะกิฮาบาระ ในโตเกียว เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ "เมืองแห่งเครื่องไฟฟ้า" ที่มีร้านรวงขายเครื่องไฟฟ้ายาวสุดลูกหูลูกตา

สังคมวัฒนธรรม
ทุกวันนี้ ครอบครัวญี่ปุ่นส่วนมากมีบุตรเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ผลก็คือ อายุเฉลี่ยของประชากรญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีจำนวน 20.014 ล้านคน แต่มีประชากรที่มีอายุมากกว่า 64 ปีถึง 18.261 ล้านคน ผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นอาศัยอยู่โดยลำพัง และคนหนุ่มสาวแต่งงานช้าลง อายุเฉลี่ยของการแต่งงานของผู้ชายคือ 29.8 ปี และของผู้หญิงคือ 27.3 ปี ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงต้องเรียนรู้วิธีการใหม่ ๆ ที่จะช่วยเหลือให้ทั้งคนหนุ่มสาวและผู้สูงอายุใช้ชีวิตในสังคมสมัยใหม่

วัฒนธรรมญี่ปุ่นประกอบขึ้นจากการผสมกัน ระหว่างวัฒนธรรมเก่าและใหม่ วัฒนธรรม ทางตะวันตกและตะวันออก ทางด้านอุตสาหกรรมก็เช่นเดียวกัน ยังมีร่องรอยของความ เป็นประเทศกสิกรรม หลงเหลืออยู่ แม้ว่าความเจริญทางอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ผ่าน มาจะทำให้ญี่ปุ่นได้แปรสภาพ เป็นประเทศที่มี ความก้าวหน้า ทางด้านอุตสาหกรรม สูงสุดประเทศหนึ่งของโลก